วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2562

การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain based Learning : BBL)



การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain-based learning) ในศตวรรษที่ 21 เริ่มเด่นชัดและ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก Brain based learning เป็นที่รู้จักในวงการการศึกษาไทย รวมไปถึงบรรดาพ่อแม่ ผู้ปกครองที่สรรหาความแปลกใหม่ทางการศึกษาสำหรับลูก แม้แต่กระทรวงศึกษาธิการเองก็มีนโยบายให้มีการจัดการศึกษาในแนวทางนี้เป็นแนวทางหลักที่ใช้ในโรงเรียน คนเราจะเกิดมาฉลาดหลักแหลมหรือเป็นคนโง่ทึ่มนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดยังคงเป็น "สมองเพราะสมองเป็นตัวที่จะรับรู้และสั่งการ ทำให้เรามีความคิดและการกระทำ ถ้าปราศจากการสั่งการจากสมองแล้ว เราคงจะทำอะไรไม่ได้เลย การที่จะเลี้ยงลูกให้ฉลาดนั้น จำเป็นจะต้องพัฒนาสมองของลูกไปให้ถูกทาง สร้างเสริมความรู้ประสบการณ์ให้เหมาะสมกับวัยเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของสมอง จะเห็นได้ว่าศักยภาพของสมองมนุษย์มีอยู่มากมายมหาศาลและพลังของสมองนั้นไม่มีขอบเขตจำกัดหรือไม่มีที่สิ้นสุดนั้นเอง ดังนั้น การนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของสมองมาใช้ในการจัดการเรียนรู้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของผู้เรียน รวมถึงเป็นการพัฒนาการจัดการศึกษาให้ดีขึ้นด้วย

หลักการสำคัญของการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน

เคน และเคน (Caine and Caine. 1989 : Web Site) แนะนำว่า หลักการสำคัญของการการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานไม่ใช่ให้ใช้เพียงข้อเดียว แต่ให้เลือกใช้ข้อที่ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นมากที่สุดและการเรียนการสอนบรรลุผลสูงสุดเท่าใดก็ได้ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้สอนซึ่งหลักการสำคัญของการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานมี 12 ประการ ดังนี้
1. สมองเรียนรู้พร้อมกันทุกระบบ แต่ละระบบมีหน้าที่ต่างกันและสมองเป็นผู้ดำเนินการที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้หลายอย่างในเวลาเดียวกันโดยผสมผสานทั้งด้านความคิดประสบการณ์และอารมณ์รวมถึงข้อมูลที่มีอยู่หลากหลายรูปแบบ เช่น สามารถชิมอาหารพร้อมกับได้กลิ่นของอาหาร การกระตุ้นสมองส่วนหนึ่งย่อมส่งผลกับส่วนอื่น ๆ ด้วยการเรียนรู้ทุกอย่างมีความสำคัญ ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพจะทำให้การเรียนรู้ที่หลากหลาย
2. การเรียนรู้มีผลมาจากด้านสรีระศาสตร์ทั้งสุขภาพพลานามัย การพักผ่อนนอนหลับ ภาวะโภชนาการ อารมณ์และความเหนื่อยล้า ซึ่งต่างส่งผลกระทบต่อการจดจำของสมองผู้สอนควรให้ความใส่ใจมิใช่สนใจเพียงเฉพาะความรู้สึกนึกคือหรือสติปัญญาด้านเดียว
3. สมองเรียนรู้โดยการหาความหมายของสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ การค้นหาความหมายเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่เกิด สมองจำเป็นต้องเก็บข้อมูลในส่วนที่เหมือนกันและค้นหาความหมายเพื่อตอบสนองกับสิ่งเร้าที่เพิ่มขึ้นมา การสอนที่มีประสิทธิภาพต้องยอมรับว่าการให้ความหมายเป็นเอกลักษณ์แต่ละบุคคลและความเข้าใจของนักเรียนอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์แต่ละคน
4. สมองค้นหาความหมายโดยการค้นหาแบบแผน (Pattern) ในสิ่งที่เรียนรู้การค้นหาความหมาย เกิดขึ้นจากการเรียนรู้แบบแผนขั้นตอนการจัดระบบข้อมูล เช่น 2+2 = 4,5+5 = 10, 10+10 = 20 แสดงว่าทุกครั้งที่เราบวกผลของมันจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนเราสามารถเรียนรู้แบบแผนของความรู้ได้ และตรงกันข้ามเราจะเรียนรู้ได้น้อยลงเมื่อเราไม่ได้เรียนแบบแผนการสอนที่มีประสิทธิภาพต้องเชื่อมโยงความคิดที่กระจัดกระจายและข้อมูลที่หลากหลายมาจัดเป็นความคิดรวบยอดได้
5. อารมณ์มีผลต่อการเรียนรู้อย่างมาก อารมณ์เป็นสิ่งสำคัญต่อการเรียนรู้เราไม่สามารถแยกอารมณ์ออกจากความรู้ความเข้าใจได้และอารมณ์เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ ความรู้สึกและทัศนคติ
6. กระบวนการทางสมองเกิดขึ้นทั้งในส่วนรวมและส่วนย่อยในเวลาเดียวกันหากส่วนรวมหรือส่วนย่อยถูกมองข้ามไปในส่วนใดส่วนหนึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ยาก
7. สมองเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม การสัมผัสจะต้องลงมือกระทำจึงเกิดการเรียนรู้หากได้รับประสบการณ์ตรงจากสิ่งแวดล้อมมากเท่าใดจะยิ่งเพิ่มการเรียนรู้มากเท่านั้นการเรียนรู้จากการบอกเล่า จากการฟังอย่างเดียวอาจทำให้มีปฏิสัมพันธ์ต่อสิ่งแวดล้อมน้อยส่งผลให้สมองเกิดการเรียนรู้น้อยลง
8. สมองเรียนรู้ทั้งในขณะรู้ตัวและไม่รู้ตัว ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้จากการได้รับประสบการณ์และสามารถจดจำได้ไม่เพียงแต่ฟังจากคนอื่นบอกอย่างเดียว นอกจากนี้ผู้เรียนยังต้องการ
เวลาเพื่อจะเรียนรู้ด้วย รวมทั้งผู้เรียนจำเป็นต้องรู้ด้วยว่าจะเรียนรู้ได้อย่างไรเท่า ๆ กับจะเรียนรู้อะไร
9. สมองใช้การจำอย่างน้อย 2 ประเภทคือ การจำที่เกิดจากประสบการณ์ตรงและการท่องจำ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นหนักด้านการท่องจำทำให้ผู้เรียนไม่เกิดการเรียนรู้  จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสและเรียนรู้โดยตรง ผู้เรียนจึงไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมจากสิ่งที่ท่องจำมาได้
10. สมองเข้าใจและจดจำเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้รับการปลูกฝังอย่างเป็นธรรมชาติเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดเกิดจากประสบการณ์
11. สมองจะเรียนรู้มากขึ้นจากการท้าทายและการไม่ข่มขู่ บรรยากาศในชั้นเรียนจึงควรจะเป็นการท้าทายแต่ไม่ควรข่มขู่ผู้เรียน
12. สมองแต่ละคนเป็นลักษณะเฉพาะตัว ดังนั้นรูปแบบการเรียนรู้และวิธีการเรียนรู้จึงเป็นเอกลักษณ์ส่วนบุคคล ในการสอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบบางคนชอบเรียน
เวลาครูพาไปดูของจริง แต่บางคนชอบนั่งฟังชอบจดบันทึก บางคนชอบให้เงียบ ๆแล้วจะเรียนได้ดี
แต่บางคนชอบให้มีเสียงเพลงเบา ๆ เพราะสมองทุกคนต่างกัน
สรุปว่า การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบสัมผัสโดยตรงและเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริงซึ่งมีส่วนส่งเสริมให้สมองสามารถรับรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เคน และเคน (Caine and Caine) ได้สรุปการเรียนรู้ของสมองไว้ 3 ลักษณะ ดังนี้
1. การเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน เป็นการเรียนรู้เนื้อหา ข้อมูล ขั้นตอนและวิธีการต่าง ๆ
2. การเรียนรู้อย่างมีความหมาย เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเรียนรู้โดยมีเป้าหมายสิ่งที่เรียนมีประโยชน์และมีคุณค่าสำหรับผู้เรียน ผู้เรียนมีแรงบันดาลใจที่กระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้และผู้เรียนมีความศรัทธาต่อสิ่งที่เรียนรู้
3. การเรียนรู้แบบสัมผัสโดยตรง เป็นการเรียนรู้ที่ผสมผสานการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานเข้ากับการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับจากประสบการณ์ตรงทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง
เคน และเคน (Caine and Caine) เสนอแนะให้ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบสัมผัสโดยตรง เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังเสนอแนะไว้ว่า ผู้สอนควรจัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงหลักการเรียนรู้ 12 ประการและองค์ประกอบการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานด้วย เนื่องจากจะช่วยให้การเรียนรู้ของสมองมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561

คำสุภาพน่ารู้

คำสุภาพ

คำสุภาพ หมายถึง คำที่ได้ยินแล้วน่าฟัง ชวนฟังเป็นถ้อยคำที่เหมาะสม ลักษณะของคำสุภาพ คือคำที่...

  • ไม่เป็นคำหยาบ
  • ไม่เป็นคำที่ได้ยินแล้วไม่น่าฟัง ไม่เป็นคำกระด้าง
  • ไม่เป็นคำที่สั้นหรือห้วนไป
  • เป็นคำที่พูดผวนแล้วไม่หยาบ
  • เป็นคำที่ไม่นิยมเปรียบกับของหยาบ
  • เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาบาลี สันสกฤต และเขมน














คำสุภาพ

ตัวอย่างคำสุภาพ

คำสามัญ

ราชาศัพท์

ผักบุ้ง

ผักทอดยอด

ผักกระเฉด

ผักรู้นอน

ผักตบ

ผักสามหาว

ผักอีริ้น

ผักนางริ้น

ต้นสลิด

ต้นขจร

ดอกสลิด

ดอกขจร

ดอกซ่อนชู้

ดอกซ่อนกลิ่น

ดอกนมแมว

ดอกถันวิฬาร์

ดอกยี่หุบ

ดอกมณฑาขาว

ดอกขี้เหล็ก

ดอกเหล็ก

ดอกมะลิ

ดอกมัลลิกา

ถั่วงอก

ถั่วเพาะ

เห็ดโคน

เห็ดปลวก

ฟักทอง

ฟักเหลือง

ต้นตำแย

ต้นอเนกคุณ

หมอตำแย

หมอผดุงครรภ์

ต้นเหงือกปลาหมอ

ต้นจะเกรง

ต้นทองกวาว, ต้นทองหลาง

ต้นปาริชาติ

ต้นพุงดอ

ต้นหนามรอบข้อ

กล้วยไข่

กล้วยกระ,  กล้วยเปลือกบาง

กล้วยสั้น

กล้วยกุ

เถาตูดหมูตูดหมา

เถากระพังโหม

เถาหมามุ้ย

เถามุ้ย

แตงโม

ผลอุลิด

หัวปลี

ปลีกล้วย

กล้วยบวชชี

นารีจำศีล

ปลาสลิด

ปลาใบไม้

ปลาช่อน

ปลาหาง

ปลาไหล

ปลายาว

หอยอีรม

หอยนางรม

ไส้เดือน

รากดิน

เต่า

จิตรจุล

ปลิง

ชัลลุกา,  ชัลลุกะ

ควาย

กระบือ

วัว

โค

หมู

สุกร

หนู

มูสิกะ

หมา

สุนัข

แมว

วิฬาร์

ลิง

วานร

ช้างสีดอ 

(ชื่อเรียกช้างตัวผู้ที่ไม่มีงาหรืองาสั้น)

ช้างนรการ

ช้างหลวง ๒ ตัว

ช้าง ๒ ช้าง

ช้างบ้าน ๒ ตัว

ช้าง ๒ เชือก

ช้างอยู่ป่า ๒ ตัว

ช้าง ๒ ตัว

ไข่ไก่

ฟองไก่

อีเก้ง

นางเก้ง

อีเลิ้ง

นางเลิ้ง

อีเห็น

นางเห็น

ปลาร้า

ปลามัจฉะ

กะปิ

เยื่อเคย

ปลาลิ้นหมา

ปลาลิ้นสุนัข

ตากแดด

ผึ่งแดด

ขนมขี้หนู

ขนมทราย

ขนมสอดไส้

ขนมใส่ไส้

ขนมจีน

ขนมเส้น

ขนมตาล

ขนมทองฟู

ขนมเทียน

ขนมบัวสาว

เครื่องจิ้ม

เครื่องเคียง

อ้วก, ราก

อาเจียน

คนออกลูก

คนคลอดลูก

สัตว์ตกลูก

สัตว์ออกลูก

หัวคน

ศีรษะคน

ตีน

เท้า

สี่ตัว

สองคู่

สามตัว

ครบสาม

เจ็ดอย่าง

เจ็ดประการ

ขี้ของสัตว์

มูล

สัตว์ขี้

สัตว์ถ่ายมูล

ขี้ดิน

มูลดิน

ขี้กลาก

โรคกลาก

ขี้เรื้อน

โรคเรื้อน

ขี้ผึ้ง

สีผึ้ง

ของคาว (อาหารคาว)

เครื่องคาว

ของหวาน

เครื่องหวาน

อาหาร

เครื่องต้น

อาหารว่าง

เครื่องว่าง

ของกิน

เครื่องเสวย

หิน

ศิลา

สากกะเบือ

ไม้ตีพริก

ครกกะเบือ

ครกตีพริก

ต้องโทษ

ต้องพระราชอาญา

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2561

เฮฮา ภาษาถิ่น

เฮฮา ภาษาถิ่น
“สวัสดีค่ะ/ครับ” “สวัสดีเจ้า” “ไปไส” “พรือ” คำทักทายน่ารักๆ ที่มักพบเจอเวลาไปเที่ยวจังหวัดต่างๆ สร้างความประทับใจแรก ได้เสมอ น่าแปลกที่ภาษาถิ่นเหล่านี้กลับมีคนพูดลดน้อยลงไป สังเกตได้จากคนรุ่นใหม่ที่มีถิ่นฐานบ้านเกิดนอกเขตบางกอก เลือกใช้ภาษากลางในการสื่อสาร หรือพูดภาษาถิ่นที่หลงเหลือเพียงสำเนียง แต่ศัพท์และรูปประโยคกลายเป็นภาษากลางไปหมดแล้ว
ผู้ใหญ่อาจจะตำหนิว่าสาเหตุหนึ่งที่เด็กรุ่นใหม่ไม่นิยมใช้ภาษาถิ่นในต่างถิ่น เช่น พอย้ายมาเรียนมาทำงานต่างบ้านเจอคนบ้านเดียวกันกลับไม่กล้าพูดภาษาถิ่น อาจเป็นเพราะอายหรือกลัวการดูถูกว่าเป็นคนบ้านนอก แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ภาษาไม่ว่าภาษาใดๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงก็เพราะ “ภาษาเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง” ที่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่เปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ จึงไม่ค่อยเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร
สำหรับภาษาถิ่นที่มีหลากหลายภาษา หลากหลายสำเนียงก็หนีไม่พ้นกฎแห่งการเปลี่ยนแปลง การขาดการติดต่อของคนที่พูดภาษาเดียวกัน ยิ่งโอกาสติดต่อกันน้อยก็ยิ่งทำให้พูดภาษาต่างกันมากขึ้นเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการออกเสียงที่เพี้ยนไปตามกาลเวลา ปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้แต่ละถิ่นมีภาษาเป็นของตัวเองและภาษาเหล่านั้นก็ไม่คงทนถาวร
ภาษาถิ่นไม่ได้มีความสำคัญเพียงการสื่อสาร แต่ยังบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของ ท้องถิ่นและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมา ถือเป็นมรดกทางภาษาใน แต่ละภาคที่ควรภาคภูมิใจ เราจึงต้องช่วยกันอนุรักษ์และรักษาเอกลักษณ์ของภาษาถิ่นนี้ไว้ไม่ให้สูญหายไปตามกระแสการเปลี่ยนแปลง
ภาษาถิ่น คืออะไร
ภาษาที่ใช้อยู่ในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งของประเทศ ในประเทศไทยมีภาษาถิ่นอีสาน ภาษาถิ่นใต้ และภาษาถิ่นเหนือที่เรียกว่าภาษาล้านนา ภาษาถิ่นมีลักษณะผิดเพี้ยนไปจากภาษากลาง แต่แตกต่างอย่างเป็นระบบ เช่น คำที่ภาษากลางใช้ ร ภาษาเหนือจะเป็น ฮ เช่นคำว่า รัก เป็น ฮัก คำว่า เรือน เป็น เฮือน คำว่า ร้อง เป็น ฮ้อง
ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร ราชบัณฑิตประเภทวิชาประวัติศาสตร์ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาโบราณ ให้ทรรศนะในการเสวนาทางวิชาการ "รู้รักภาษาไทยสัญจร" ว่า ภาษาไทยกรุงเทพมี 5 เสียงวรรณยุกต์ แต่ภาษาเหนือมี 6 เสียงวรรณยุกต์ ส่วนภาษาอีสานและภาษาใต้มีถึง 7 เสียงวรรณยุกต์
สำหรับคนภาคตะวันออกและภาคตะวันตก มีวิธีการพูดที่คล้ายๆกับคนภาคกลาง ภาษาที่ใช้คล้ายคลึงกันมาก เพียงแต่สำเนียงการพูดและภาษาท้องถิ่นจะมีสร้อยคำท้าย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น
ภาษากลาง ภาษาเหนือภาษาใต้ภาษาอีสาน
คิดถึงมากกึดเติงแต้ๆ เน้อหวังเหวิดจังฮู้คิดฮอดหลายหลายเด้อ
กลับบ้านปิ๊กบ้านหลบบ้านเมียบ้าน
ไม่รู้อะไรกันนักหนา อะหยังปะล้ำปะเหลือ หม้ายรู้ไอไหรกันนักหนาจั๊กอิหยัง กะด้อ กะเดี้ย
รถชนรถจนรถชนรถต๋ำ
ราคาเท่าไรเต๊าใดเถ่าไหร๊ราคาจั๊กบาท
ส้มตำต๋ำส้มส้มตำตำบักหุ่ง
อย่ารีบบ่าดีฟั่งอย่าแขบอย่าฟ่าว
หิวข้าวหรือยังอยากข้าวยังเนือยแล้วม๊ายหิวเข่าบ่
ไปดูหนังกันไหมไปผ่อหนังตวยกั๋นก่อไปแลหนัง กันหวา เอาม่ายไปเบิ่งหนังนำกันบ่
ถ่ายรูปกันนะถ่ายฮูปกั๋นถ๊ายรูปกั๋นมาต๊ะมาถ่ายฮูปกัน
ไปเที่ยวกันไหมไปแอ่วกั๋นบ๋อไปเที่ยวกันหว่าไปเลาะนำกันบ่
ฝรั่งบะหมั้น, บะกล้วยก๋าชมพู่ชมพู่บักสีดา
อร่อยลำแต้ แต้หรอยจังฮู้แซ่บอีหลี
มะละกอบะกล้วยเต้ดลอกอบักหุ่ง
อ้ายขออู้ 
“ก๋านอู้กำเมืองของเฮามีเอกลักษณ์ เป๋นภาษาตี้อ่อนช้อย งดงาม แสดงถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของคนเมือง ตี้ฮักความสงบ เรียบง่าย สันโดษ คนบ้านเฮาจิตใจ๋ดี เป๋นปี้เป๋นน้อง ผู้ใดมาพบมาปะก็ฮักก็ชอบ นี่คือความภูมิใจ๋ของหมู่เฮาคนเมืองแสดงถึงความเป๋นเอกลักษณ์ของคนเมือง ไปอู้ตี้ไหนตางใดคนเขากะฮู้ว่าเป๋นคนเมือง ประก๋านตี้สองยะหื้อหมู่เฮาตี้เป๋นคนเมืองฮักกั๋นมากขึ้น มีความสนิทสนมกลมเกลียวสามัคคีในหมู่เปื้อนฝูง ประก๋านตี้สามจ่วยสืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีของคนเมืองหื้อเป๋นตี้ฮู้จักทั่วไป”
- พิษณุกรณ์ เต็มปัน จ.น่าน
สาวใต้ขอแหลง 
“ภาษาใต้เวลาแหลง โคนเท่เขาฟังไม่ออกก็รู้สึกพรือโฉ้ คิดว่าโคนใต้หน้าขลาด ชอบแหลงกันฉาวเทือน เหมือนนักเลง จริงๆ ก็หาหม้ายไหร้ เป็นเรื่องปกติ ภาษาใต้ถ้าได้ลองฟังแลเป็นภาษาเท่หนุก แลจริงใจ ตรงๆ เพราะโค่นใต้เวลาคิดพรือก็แหลงพันนั้นทำให้เป็นเสน่ห์ของภาษาใต้เท่ฟังแล้วจริงใจ”
- ปิยนุช ไชยสุวรรณ จ.พังงา
  
ผู้บ่าวขอเว่า
“ภาษาอีสานหรือภาษาลาวที่เค้าพากันเอิ้นกันน่ะ มันบ่แม่นภาษาลาวเด้อ มันเป็นภาษาอีสาน เว่าคือกันซือๆ ภาษาอีสานหนิมนต์เสน่ห์หนิคักเติบเด้ เว่าหนิโป้กๆ โล้ดแต่ว่าจริงใจหนิที่หนึ่ง ด่าเป็นด่า ป้อยเป็นป้อย แต่คำด่าคำป้อยหนิคือออกมาจากความหวังดี คั่นสิให้สาทะยายหนิคือสิบ่เมิ้ดดอกมื่อนี้น่ะ แต่อยากสิบอกว่าภาษาอีสานหนิสวยงามคักแห่งไปเว่าในเมืองกรุงเทพเด้อบร๊ะคนเหลียวมองตระหน่าย เค้าคือสิว่าบ้านนอกละตี้แต่บ่เป็นหยังข่อยภูมิใจในภาษาอีสานบ้านเกิดข่อย แต่มันกะมีข้อดีเด้ลองขึ้นแท๊กซี่แล้วเว่าอีสานเด้อ ลางเถื่ออาจได้ลดสิบบาทซาวบาทเด้ ”
- ณัฐภูมิ นรินทร์ จ.อุดรธานี


วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สำนวนไทยพาเพลิน

สำนวนไทย



 สำนวนไทยนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหง ถ้อยคําหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีความหมายไม่ตรงตามตัวหรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่ สันนิษฐานว่า สำนวนนั้นมีอยู่ในภาษาพูดก่อนที่จะมีภาษาเขียนเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย โดยเมื่อพิจารณาจากข้อความในศิลาจารึก พ่อขุนรามคำแหงแล้ว ก็พบว่ามีสำนวนไทยปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ เช่น ไพร่ฟ้าหน้าใส หมายถึง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข

        หนังสือสุภาษิตพระร่วงก็มีเนื้อหาเป็นสำนวนไทยที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันมากมาย เช่น เมื่อน้อยให้เรียนวิชา ให้หาสินเมื่อใหญ่

        หนังสือกฎมณเฑียรบาลของเก่า ก็มีสำนวนไทยปรากฏอยู่ นอกจากนี้ในวรรณคดีไทยต่างๆ ตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมาก็มีสำนวนไทยปรากฏอยู่มากมาย เช่น ขุนช้างขุนแผน ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ และราชาธิราชเป็นต้น

        สำนวนเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของภาษาไทย เพราะเป็นคำพูดที่กลั่นกรองขึ้น เพื่อความสละสลวยของภาษาเป็นถ้อยคำที่คมคายกว่าคำพูดธรรมดา เป็นคำพูดที่รวมใจความยาวๆให้สั้นลงได้ ก็จะทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจง่าย ๆ
ความหมายของสำนวนไทย

           เป็นที่ทราบกันดีว่า คนไทยเป็นพวกเจ้าบทเจ้ากลอน จะพูดจาหรือสั่งสอนใคร ก็มักจะอ้างเอาสำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพยที่พูดต่อ ๆ กันมาตั้งแต่ครั้งโบราณมาเปรียบเทียบเปรียบเปรยเสมอ ซึ่งคำเหล่านี้มักจะเป็นคำที่คล้องจองกัน ทำให้จดจำได้ง่ายและเห็นภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
            ที่สำคัญ สำนวนไทยยังมีเสน่ห์ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยการดึงเอาสิ่งที่อยู่รอบตัวมาเปรียบเทียบ ดังนั้น เราอาจพูดได้ว่า สำนวนไทยมีความผูกพันกับชีวิตของเราอย่างใกล้ชิด และยังให้ข้อคิดสอนใจ ซึ่งสำนวนไทยนั้นมีอยู่มากมาย แต่เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนอาจยังไม่เข้าใจความหมายของ สำนวนไทย บางคำ หรือบางประโยค แม้จะได้ยินอยู่บ่อย ๆ ก็ตาม 

ขวานผ่าซาก 

 สำนวน คือ คำพูดเป็นขั้นเชิง ไม่ตรงไม่ตรงมา แต่ใช้มีความหมายในคำพูดนั้นๆ
          สำนวน หมายถึง สำนวน หรือถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเป็น โวหาร บางทีก็ใช้ว่า สำนวนโวหาร คำพูดของมนุษย์เราไม่ว่าจะชาติใดหรือภาษาใด แยกออกได้กว้างๆ เป็น ๒ อย่าง อย่างหนึ่งพูดตรงไปตรงมาตามภาษาธรรมดา พอพูดออกมาก็เข้าใจกันได้ทันที อีกอย่างหนึ่งพูดเป็นชั้นเชิงไม่ตรงไปตรงมา แต่ให้มีความหมายในคำพูดนั้นๆ ผู้ฟังอาจเข้าใจความหมายทันที หรืออาจจะไม่เข้าใจความหมายโดยทันที ต้องคิดจึงจะเข้าใจ หรือบางทีคิดแล้วเข้าใจอย่างอื่นก็ได้ หรือไม่เข้าใจเลยก็ได้ คำพูดเป็นชั้นเชิงนี้ เราเรียกกันว่า สำนวน คือ คำพูดเป็นสำนวน ชาวบ้านจะเรียกว่า พูดสำบัดสำนวน
          สำนวน คือ "โวหาร ถ้อยคำที่เป็นข้อความพิเศษ คือ มีขั้นเชิงของความหมายให้ขบคิด"

          สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่มิได้มีความหมายตรงไปตรงมาตามตัวอักษร หรือแปลตามรากศัพท์ แต่เป็นถ้อยคำที่มีความหมาย เป็นอย่างอื่น คือ เป็นชั้นเชิงชวนให้คิด ซึ่งอาจเป็นไปในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม และอื่นๆ ซึ่งล้วนแต่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไทยอย่างเด่นชัด            
          สำนวน คือ หมู่คำที่ไพเราะคมคาย เป็นคำพูดสั้น ๆ แต่มีความหมายกว้างขวางลึกซึ้งชวนให้คิด เป็นถ้อยคำที่เรียบเรียง,โวหาร,บางที่ใช้คำว่าสำนวนโวหารเป็นถ้อยคำที่ไม่ถูกไวยากรณ์แต่ใช้เป็นภาษาที่ถูกต้อง การแสดงถ้อยคำออกมาจะเป็นข้อความพิเศษเฉพาะของแต่ละภาษา แต่ทุกถ้อยคำก็ไพเราะ



ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่




สระพาเพลิน

เสียงสระ
เสียงสระ  คือ  เสียงที่เปล่งออกมาโดยตรงจากปอด  ไม่ถูกอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งกักเก็บไว้ภายในช่องปากเสียงสระในภาษาไทยมี 21 รูป  32  เสียง  ดังนี้




                                รูปสระ

            1.    ะ    เรียก    วิสรรชนีย์

            2.     ั     เรียก    ไม้ผัด
            3.    า    เรียก    ลากข้าง
            4.      ิ    เรียก    พินทุอิ
            5.     ่     เรียก    ฝนทอง  
            6.     ํ     เรียก    นิคหิต  หยาดน้ำค้าง
            7.    "     เรียก    ฟันหนู
            8.     ุ     เรียก    ตีนเหยียด
            9.      ู    เรียก    ตีนคู้
            10.    ็    เรียก    ไม้ไต่คู้
            11.   เ    เรียก    ไม้หน้า  
            12.   ใ    เรียก    ไม้ม้วน
            13.   ไ    เรียก    ไม้มลาย
            14.   โ    เรียก    ไม้โอ
            15.   อ    เรียก    ตัวออ
            16.   ย    เรียก    ตัวยอ
            17.   ว    เรียก    ตัววอ
            18.   ฤ    เรียก    ตัวรึ
            19.   ฤๅ  เรียก    ตัวรือ
            20.   ฦ    เรียก    ตัวลึ
            21.   ฦๅ  เรีัยก    ตัวลือ
                   

                   เสียงสระ  มี 32 เสียง  แบ่งออกเป็น 3 ชนิด (ตามตำราภาษาไทยแต่เดิม) คือ 
         1) สระเดี่ยว (สระแท้)     2)  สระประสม (สระเลื่อน) และ 3)  สระเกิน

        1)  สระเดี่ยว  (สระแท้)  มี 18 เสียง  แบ่งออกเป็นสระเสียงสั้น  9 เสียง และสระเสียงยาว 9 เสียง  ดังนี้

                 สระเสียงสั้น
                    (รัสสระ)
                   สระเสียงยาว
                      (ทีฆสระ)
 อะ
อิ
อึ
อุ
เอะ
แอะ
โอะ
เอาะ
เออะ
 อา
อี
อือ
อู
เอ
แอ
โอ
ออ
เออ

        2)  สระประสม  (สระเลื่อน)  คือ  การเลื่อนเสียงจากสระหนึ่งไปยังอีกสระหนึ่ง  โดยการนำสระเดียว 2 สระ ประสมกันมี 6 เสียง  ดังนี้
           

 สระเสียงสั้น สระเสียงยาว
 เอียะ  (อิ + อะ)
เอือะ  (อึ + อะ)
อัวะ  (อุ + อะ)
เอีย  (อี + อา)
เอือ  (อือ + อา)
อัว  (อู + อา) 

        3)  สระเกินมี 8 เสียง  ดังนี้

 สระเสียงสั้น สระเสียงยาว
 อำ (อ + อะ + ม)
ไอ  (อ + อะ + ย)
ใอ  (อ + อะ + ย)
เอา  (อ + อะ + ว)
ฤ  (รึ)
ฦ  (ลึ)




ฤๅ  (รือ)
ฦๅ  (ลือ) 
   หมายเหตุ  อำ  ไอ  ใอ  เอา  ทางภาษาศาสตร์แนวใหม่ จะนับเป็นเสียงสระพิเศษ เพราะมีเสียงพยัญชนะประสมอยู่ด้วย  แต่ในการเขียนคำในภาษาไทย  จะเขียนดังนี้  จำ  ไป  เขา  ใน และถือว่าเป็นคำที่มีเสียงตัวสะกดด้วย






ราชาศัพท์พาเพลิน

คําราชาศัพท์

คําราชาศัพท์  
พระบรมอรรคราชบรรพบุรุษ = บรรพบุรุษของพระมหากษัตริย์
พระอัยกา = ปู่
พระมาตามหา = ตา
พระอัยกี = ย่า
พระอัยยิกา = ยาย
พระสัสสุระ = พ่อตา, พ่อสามี
พระชนก = พ่อ
พระชนนี = แม่
พระวิมาดา = แม่เลี้ยง
พระสสุรี = แม่ยาย, แม่สามี
พระบิตุลา = ลุง (พี่ชายของพ่อ)
พระปิตุจฉา = ป้า (พี่สาวของพ่อ)
พระมาตุจฉา = ป้า (พี่สาวของแม่)

คำราชศัพท์ หมวดร่างกาย

พระเจ้า = ศีรษะ
เส้นพระเกศา = เส้นผมพระมหากษัตริย์
เส้นพระเกษี = เส้นผมพระราชินี
พระเกศา = ผม
พระจุฑามาศ = ผมมวย
พระเวณิ = ผมเปีย
พระโมลี = ผมจุก
พระเมาลี = ผมจุก
พระจุไร = ไรจุก
ไรพระเกศ = ไรผม
ไรพระเกศา = ไรผม
พระพักตร์ = หน้า
กำไลข้อพระบาท = กำไลข้อเท้า
ทองข้อพระบาท = กำไลข้อเท้า
พาหุรัด = กำไลรัดต้นแขน
ปั้นเหน่ง = เข็มขัด (ประดับ)
เครื่องทรง = เครื่องแต่งตัว
ตุ้มพระกรรณ = ต่างหู
รัตนมณี = ทับทิม
พระจุฑามณี = ปิ่น
รัตนา = เพชร
พระชฏา = มงกุฎ
พระปั้นเหน่ง = หัวเข็มขัด
พระธำมรงค์ = แหวน
คำราชศัพท์หมวดเครื่องแต่งกาย

สนับเพลา = กางเกง
ถุงพระบาท = ถุงเท้า
ถุงพระหัตถ์ = ถุงมือ
ซับพระองค์ = ผ้าเช็ดตัว
ซับพระพักตร์ = ผ้าเช็ดหน้า
ภูษาทรง = ผ้านุ่ง
ผ้าพันพระศอ = ผ้าพันคอ
พระภูษาโสร่ง = ผ้าโสร่ง
ฉลองพระบาท = รองเท้า
ฉลองพระองค์ = เสื้อชั้นนอก